สวัสดีวันอังคาร
"ลิ้นจี่" ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม
ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่มีลักษณะเปลือกสีแดง ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์เดียวกันกับลำไยและเงาะ มีต้นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้ และมีการปลูกอย่างแพร่หลายในประเทศไทยแถบภาคเหนือ เวียดนาม ญี่ปุ่น อินเดียตอนเหนือ บังคลาเทศ อเมริกาใต้ และสหรัฐอเมริกา โดยสายพันธุ์ของลิ้นจี่นั้นมีอยู่หลากหลาย แต่ที่เป็นที่นิยมก็ได้แก่ สายพันธุ์จักรพรรดิ กิมเจ็ง และฮงฮวย เป็นต้น โดยเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นในรูปของผลไม้สดหรือแปรรูปก็ตาม
จากการศึกษาพบว่าในเนื้อลิ้นจี่นอกจากจะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายแล้ว ก็ยังมีกรดไขมันที่สำคัญต่อร่างกายอีกด้วย เช่น กรดปาล์มิติก (Plamitic Acid) 12%, กรดไลโนเลอิก (Linoleic Acid) 11%, กรดโอเลอิก (Oleic Acid) 27% ซึ่งมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
ในเนื้อผลลิ้นจี่จะมีสารประกอบชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการร้อนในได้ ดังนั้นการรับประทานลิ้นจี่ในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะทำให้เกิดอาการร้อนในได้ คุณควรเลือกรับประทานผักผลไม้ให้หลากหลายเพื่อให้เกิดความสมดุลของร่างกายและป้องกันการเกิดอาการดังกล่าว
ประโยชน์ของลิ้นจี่
- นำมาทำเป็นน้ำผลไม้ดื่มช่วยแก้กระหาย ให้รสชาติหวานชื่นใจ
- ลิ้นจี่เป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สำคัญของบ้านเรา โดยมีการนำไปแปรรูปเป็นผลไม้กระป๋องและอบแห้งเพื่อส่งออก
สรรพคุณของลิ้นจี่
- ผลรับประทานเป็นยาบำรุงร่างกาย
- ช่วยให้พลังชี่ขับเคลื่อน (เมล็ด)
- มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างสูง (สารสกัดจากเปลือก)
- ลิ้นจี่ต้านมะเร็ง ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม (สารสกัดเพอริคาร์ปของลิ้นจี่)
- ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ราก, เปลือกลำต้น)
- ลิ้นจี่มีสรรพคุณช่วยแก้อาการไอเรื้อรัง
- เปลือกของผลใช้ทำเป็นชาชงดื่มแก้อาการหวัด (ชาจากเปลือก)
- ช่วยแก้อาการคัดจมูก
- ช่วยป้องกันการเกิดและช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
- ช่วยแก้การติดเชื้อในลำคอ (ชาจากเปลือก)
- ช่วยบำรุงระบบการย่อยอาหาร
- ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร
- ช่วยบรรเทาอาการไม่ปกติของระบบทางเดินอาหาร
- ช่วยรักษาอาการท้องเดิน
- ช่วยแก้อาการท้องเสียชนิดไม่รุนแรง (ชาจากเปลือก)
- ช่วยปกป้องและรักษาตับ (สารสกัดของผลลิ้นจี่)
- มีส่วนช่วยลดขนาดเนื้องอก (งานวิจัยในประเทศจีน แต่ไม่ได้ระบุไว้แน่ชัดว่าใช้ส่วนใดของลิ้นจี่)
- ช่วยรักษาโรคจากการติดเชื้อไวรัส (ชาจากเปลือก)
- ช่วยรักษาอาการปวดท้อง (เมล็ด)
- ช่วยรักษาอาการปวดไส้เลื่อน (เมล็ด)
- ช่วยรักษาอาการปวดบวมอัณฑะ (เมล็ด)
- ช่วยรักษาโรคไส้เลื่อน อัณฑะหย่อนยาน ด้วยการนำเมล็ดไปตากแห้งแล้วนำไปคั่วกับไฟอ่อน ๆ จนสุกเกรียม แล้วนำมาบดเป็นผง นำเอาผงที่ได้มาประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะต้มกับน้ำ หรือตัก 1 ช้อนแล้วนำมาชงกับน้ำร้อน ดื่มวันละ 3-4 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 20 วัน (เมล็ด)
- ลิ้นจี่มีประโยชน์ในการช่วยป้องกันการเกิดโรคเหน็บชา (วิตามินบี 1)
- รากลิ้นจี่หรือเปลือกของลำต้น ใช้แก้อาการติดเชื้อไวรัสและอีสุกอีใสได้ (ราก, เปลือกลำต้น)
- ช่วยลดอาการปวดต่าง ๆ (เมล็ด)
คุณค่าทางโภชนาการของผลลิ้นจี่
- พลังงาน 66 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 16.53 กรัม
- น้ำตาล 15.23 กรัม
- เส้นใย 1.3 กรัม
- ไขมัน 0.44 กรัม
- โปรตีน 0.83 กรัม
- วิตามินบี 1 0.011 มิลลิกรัม 1%
- วิตามินบี 2 0.065 มิลลิกรัม 5%
- วิตามินบี 3 0.603 มิลลิกรัม 4%
- วิตามินบี 6 0.1 มิลลิกรัม 8%
- วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม 4%
- วิตามินซี 71.5 มิลลิกรัม 86%
- ธาตุแคลเซียม 5 มิลลิกรัม 1%
- ธาตุเหล็ก 0.13 มิลลิกรัม 1%
- ธาตุแมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม 3%
- ธาตุแมงกานีส 0.055 มิลลิกรัม 3%
- ธาตุฟอสฟอรัส 31 มิลลิกรัม 4%
- ธาตุโพแทสเซียม 171 มิลลิกรัม 4%
- ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม 0%
- ธาตุสังกะสี 0.07 มิลลิกรัม 1%
หากมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรัง ติดต่อสอบถาม ศิรินได้เลยนะคะ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่👇👇👇
▶️ FB : Serene Hospital Thailand
▶️ IG : serenehospitalthailand
▶️ Line@ : @serenehospital
▶️ Website : www.serenehospitalthailand.com
📍 พิกัด : ซอย กรุงเทพกรีฑา 8 แยก 16 แขวง หัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร 10240
📱 063-992-6315 ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า